เชื่อพ่อแม่ ไม่ได้ดีเสมอ



เปิดเรื่องแบบนี้
ใครหลายคนคงเกิดคำถาม พร้อมคำค้านในใจเบาๆ ขึ้นว่า อ้าว เชื่อพ่อ เชื่อแม่ ไม่ได้ดีตรงไหน
หรือ จะมีพ่อแม่ที่ไหนแนะนำสิ่งไม่ดี

ก่อนจะคิดเลยเถิดไปกันใหญ่
ขอให้ค่อยๆลองอ่านเรื่อยๆไปในตัวอักษรที่กำลังเขียนอย่างบรรจงลงเรียบเรียงในบทความนี้

เคยไหมที่มีความคิดบางสิ่งบางอย่างของคนเป็นพ่อเป็นแม่ คิดขัดแย้ง หรือไม่ตรงกับใจเรา
มันคงต้องมีน้อยบ้าง มากบ้าง 
ขึ้นอยู่ความคิดและสิ่งต่างๆที่คุณได้เรียนรู้มา บวกกับยุคสมัยสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไปก็ส่งผลมีอิทธพลอยู่พอสมควร

ขอยกตัวอย่างจากเรื่องราวของใกล้ตัวของตัวเองเลยละกัน เผื่อจะได้เห็นภาพกันชัดขึ้น

พ่อแม่เรามีพื้นฐานทางบ้านเรียกได้ว่าไม่ได้มีฐานะนัก 
ท่านต้องทำงานไปเรียนไป จนกระทั่งส่งตัวเองเรียนจบ 
และก็แต่งงาน มีลูกตามขั้นตอนชีวิตกันไป โดยที่ท่านก็พยายามอย่างมากที่สุดที่จะส่งให้ลูกเรียนได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ จนจบปริญญาตรี 

ความคิดอย่างหนึ่งของท่าน 
คือ การมองหาบริษัทที่น่าเชื่อถือเป็นที่รู้จักจะมีความมั่นคง และ ทำงานไต่เต้าในที่นั้นๆ น่าเชื่อได้ว่าเป็นสิ่งที่พึงปฎิบัติในวิถีชีวิตการทำงานหลังจากเรียนจบกันไป 
ซึ่งในตอนที่เพิ่งเรียนจบมาใหม่ๆนั้น เราก็ฟังคำสอนและเชื่อในคำของท่านเสมอ

เราใช้ชีวิตการทำงานที่แรกด้วยเงินเดือนเริ่มต้นที่ 12,000 บาท อยู่ถึง 7 ปี 
โดยที่มีเงินเดือนสุดท้ายก่อนออกจากที่นี่เพียง 15,000 บาท 

หลังจากนั้นเราตัดสินใจหางานใหม่ อยู่ที่ใหม่ได้ ปีนึง ก็เปลี่ยน 
การตัดสินใจเปลี่ยนงานออกจากที่นี่ ก็มีกระแสคัดค้านจากท่านเยอะพอสมควร 
เพราะบริษัทใหม่นั้นไม่ได้มีชื่อเสียงสักเท่าไหร่เลย เพราะเป็นบริษัทที่มาต่างประเทศ เรียกว่าไม่เป็นที่รู้จักเลยในเมืองไทยก็ได้
แต่ผลปรากฎว่า ที่นี่เป็นที่ทำงานที่ทำให้เราพบเจอเพื่อนที่ดีมากมาย และ เป็นหนึ่งในสถานที่ทำงานที่สนุกมาก เราอยู่ที่นี่อยู่หลายปีเลยทีเดียว

พอถึงช่วงเวลานึง ก็เริ่มอยากหาประสบการณ์ใหม่ การเปลี่ยนงานจึงเกิดขึ้นอีกครั้ง 
คราวนี้ ไม่ได้รับการคัดค้านมากนัก เพราะเป็นองค์กรที่ใหญ่ และ เรียกได้ว่าเป็นที่รู้จักในเมืองไทยมากเลยที่เดียว ซึ่งตรงกับความต้องการของท่านอยู่แล้ว ท่านจึงส่งเสียงสนับสนุนเต็มที่

อยู่ได้ สองปี ความคิดอยากก้าวหน้า และ อยากเรียนรู้ของเรายังคงมีอยู่ต่อเนื่อง จึงทำให้ไม่พ้นเริ่มตัดสินใจเปลี่ยนอีกครั้ง
ครั้งนี้ท่านมีความไม่เห็นด้วยพอสมควร แม้จะเป็นองค์กรมั่นคงที่ตรงใจท่านก็ตาม เนื่องจากเป็นงานใหม่ที่แตกต่าง และ ท่านกลัวว่าเราจะไม่สามารถทำได้(ถ้าจะพูดอย่างไม่อายเลยก็คือ พ่อแม่ไม่มั่นใจในศักยภาพและความสามารถของลูกตัวเองนั่นเอง) สุดท้ายเราก็เลือกทำตามความคิดของตัวเองจนได้
สองปี เป็นเหมือนช่วงเวลาหมดอายุงานของเราละมั้ง
จึงเป็นที่มาให้เราเปลี่ยนงานอีกครั้ง

แต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนครั้งที่ผ่านมา เนื่องจากทำไปได้ไม่นานก็โดนประเมินไม่ผ่านโปรซะงั้น
จึงไม่แปลกที่จะโดนพ่อแม่พูดกึ่งเหน็บแนมว่า เห็นไหมบอกแล้ว ให้อยู่ที่เดิมดีๆเรื่อยๆสบายๆไม่เชื่อ

เมื่อโชคดีเข้าข้างเรา จึงทำให้ได้งานพอดิบพอดี 
หลังจากนั้น อยู่ไปอยู่มาสักพัก ด้วยความเชื่อมั่นในตัวเอง และ มีความมั่นใจว่า มันคงต้องมีที่ทำงานที่ไหนสักที่ ที่น่าจะมีหลายต่อหลายอย่างตรงกับที่เราอยากได้บ้างซิน่ะ จึงตัดสินใจเปลี่ยนไปตามความรู้สึกแบบนั้น

แจ๊คพ๊อตเลย พอไปที่ใหม่ 
โลกไม่สวยอย่างที่คิด มันดันหนักกว่า จากที่จินตนาการไว้ไม่มีใกล้เคียงเลยสักนิด แถมทำให้รู้สึกว่าไม่ใช่กว่าหลายๆที่ที่ผ่านมาอีก (ความคิดแว๊บๆไม่น่าเปลี่ยนเลยก็ขึ้นมา)
ตอนแรกก็คิดว่าจะอดทนให้มากขึ้น พยายามปรับเปลี่ยนตัวเองให้มากขึ้น ตามคำแนะนำของพ่อแม่
แต่ความคิดนึงที่ ผุดขึ้นมาในหัวสมองของเราก็คือ 2-3 ที่ ที่ลองอดทนอยู่มาสองปีนั้น มันเป็นที่นี่ เราลาออกมาด้วยเหตุผลเดียวกันกับที่เรารู้สึกเมื่ออยู่ที่นั่นไปได้เพียง 3-4 เดือนเท่านั้น
มันอาจจะฟังดูเหลือเชื่อ แต่เชื่อเถอะมันรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

พอคิดได้แบบนี้ เราจึงตัดสินใจออกโดนพลัน
ตกงานอยู่สองเดือนได้งานใหม่
ก็ดันไปเจอแบบเดิมๆอีก (ประวัติศาสตร์ก็เลยซ้ำ ความคิดย้ำๆเรื่องที่พ่อแม่บอกก็เข้ามาในหัวสมอง)
ลาออกมา ตกงานอีกสองเดือนใหม่

ตอนนี้ทำงานที่หนึ่งได้สักพักนึงแล้ว ซึ่งต้องยอมรับเลยว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างตรงใจอย่างที่คิดไว้เหมือนกัน ณ ปัจจุบัน ความรู้สึกตอนนี้ ทั้งที่ผ่านมาแล้ว 3-4 เดือน ยังไม่มีความรู้สึกแบบเดิมๆขึ้นมาเตือนสักที 
 
ช่วงที่เปลี่ยนงานบ่อยๆ พ่อกับแม่พูดกรอกหูเสมอๆ ว่าบอกแล้วให้อยู่ที่เดิมชิลๆ อยู่ไปวันๆน่าจะดีกว่านะ ไม่ใช่ออกมาแล้วก็เจออะไรก็ไม่รู้
แต่วันนี้ฉันแค่รู้สึกว่า 
บางครั้งความอดทนในบางเรื่อง ก็ไม่ใช่จะให้ผลลัพธ์ที่ดีในทุกครั้ง 
มันควรรู้ว่าเรื่องอะไรที่น่าอดทน และ ความอดทนไหนที่น่าเป็นประโยชน์ต่อเราอย่างแท้จริง 

เราเคยคิดเสมอว่า ถ้าแต่ก่อนนั้น เราเชื่อพ่อกับแม่ 
ทุกวันนี้ เราจะยังอยู่อยู่ในจุดเดิมๆที่เดิมๆ 
ที่มันก็คงต้องเจอต้องทนในเรื่องที่เราไม่อยากทนแต่ต้องทนเรื่อยไป 
อยู่กับสิ่งที่ชอบบ้างไม่ชอบไปเรื่อยๆ 
ชีวิตไม่ต้องระหกระเหิน ไม่ต้องเผชิญความยากลำบาก 
ชีวิตไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องผ่านความกดดัน 
หรือ ไม่ต้องแก้ปัญหาอะไรมากมาย เพราะแค่ยอมทนในส่ิงที่ต้องทน อยู่ในโซนปลอดภัยสบายใจกันไป 

แต่
มันก็คงไม่สามารถทำให้เราได้เรียนรู้ว่า 
โลกกว้างมีอะไรที่ให้เรียนรู้อีกเยอะ 
มีทั้งชีวิตที่ไม่ได้ดั่งใจ 
คาดหวังที่ไม่สมหวัง 
มีวันที่ไม่ได้รับการยอมรับ 
มีวันที่ทุกอย่างผิดเพี้ยน ผิดแผนเกิดขึ้นได้เสมอ 

ทุกอย่างที่ผ่านมานั้น 
ทำให้เราเติบโตมากขึ้น 
ขัดเกลาให้เราคิดวิเคราะห์มากขึ้น 
คิดวางแผนระมัดระวังและละเอียดขึ้นก่อนการตัดสินใจในครั้งต่อๆไป

จนปัจจุบันนี้ 
พ่อแม่พูดเสมอว่า ความก้าวหน้าในหน้าที่การงานไม่จำเป็นต้องอยู่องค์กรใหญ่มีชื่อเสียงดูมั่นคงเสมอ 
การให้ลูกได้ลองผิดลองถูกและเรียนรู้ข้อผิดพลาดเพื่อให้ยอมรับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น 
ทำให้ลูกเติบโตทางความคิด แข็งแกร่งในการใช้ชีวิตขึ้นได้
ท่านภาคภูมิใจกล้าบอกได้เต็มปากเต็มคำว่า เงินเดือนลูกทุกวันนี้นี้หนา มากกว่า พ่อแม่หาได้รวมกันเป็น 3 เท่าเสียอีก

ประสบการณ์ชีวิตที่พ่อแม่เราพบเจอ 
ก็ไม่ได้แปลว่าท่านจะเรียนรู้ทุกอย่างที่ผ่านมาได้ 
เพราะการซึบซับรับรู้ และเติบโตของทุกคนไม่เท่ากัน 

การฟังผู้ใหญ่ไว้บ้างเป็นเรื่องดี 
แต่การเชื่อทุกอย่างที่ผู้ใหญ่บอกก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องน่าปฎิบัติตามเสมอไปไม่

ทุกวันนี้จึงรับฟังทุกอย่าง จากทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิต 
แต่ไม่เชื่ออย่างสนิทใจในครั้งแรกที่ฟังไว้
จะเลือกคิดวิเคราะห์ แยกแยะ ประเมินผล
พิสูจน์ด้วยความคิดตนก่อนจะเชื่อถือทุกสิ่งทุกครั้งไป

by H’esdy
https://www.facebook.com/HappyEverySingleDay/
hesdyme.blogspot.com

ความคิดเห็น