เมื่อวานได้มีโอกาสไปดูภาพยนต์
เรื่อง snowden
ซึ่งเป็นเรื่องราวที่มี
เค้าโครงมาจากเรื่องจริงของ เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน
เจ้าหน้าหน่วยสืบราชการลับของสหรัฐ ผู้ออกมาเปิดโปงโครงการลับของรัฐบาลต่อสาธาณชน
เมื่อกลางปี 2013 ที่ผ่านมา
เมื่อกลางปี 2013 ที่ผ่านมา
มีข่าวครึกโครมทั่วโลกเมื่ออดีตจนท. NSA และ CIA ผู้เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์ Edward Snowden
ออกมาแฉพร้อมข้อมูลลับและหลักฐานแน่นหนาว่ารัฐบาลสหรัฐฯ
และ
สำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ (National Security Agency: NSA)
ว่าลักลอบเก็บข้อมูลออนไลน์และการใช้โทรศัพท์มือถือของประชาชนอเมริกันทุกคน
เรื่องราวของหนัง ได้เล่าที่มาที่ไปของ สโนว์เดน ว่าเขาเริ่มต้นชีวิตการทำงานได้อย่างไร
จนกระทั่งได้มีโอกาสเข้าไปทำงานในองค์กรดังกล่าว และ ได้ล่วงรู้ว่าองค์กรนี้
สามารถที่จะตรวจสอบและสืบค้นข้อมูลออนไลน์ของประชาชนอเมริกันได้อย่างง่ายดายได้อย่างไร
สิ่งที่น่าสนใจของภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็คือ
เขาอาจจะไม่ใช่คนแรกที่ได้รับรู้ เรื่องราวนี้
สิ่งที่น่าสนใจของภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็คือ
เขาอาจจะไม่ใช่คนแรกที่ได้รับรู้ เรื่องราวนี้
และ
เขาก็คงไม่ใช่คนแรกที่ตั้งคำถามและพร้อมกับข้อสงสัยว่า
สิ่งที่องค์กรกำลังทำอยู่นี้เป็นสิ่งที่ควรทำ หรือ ไม่ควรทำ
มันเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม
หรือแม้กระทั่ง ถูกต้อง หรือ ไม่ถูกต้อง ก็ตาม
สิ่งที่องค์กรกำลังทำอยู่นี้เป็นสิ่งที่ควรทำ หรือ ไม่ควรทำ
มันเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม
หรือแม้กระทั่ง ถูกต้อง หรือ ไม่ถูกต้อง ก็ตาม
หลายต่อหลายครั้งเราตั้งคำถามและมีข้อสงสัยกับเรื่องราวที่เราต้องประสบพบเจอ
หรือ
แม้กระทั่งมีส่วนร่วมในสังคมมากมาย
ว่ามันเป็นสิ่งที่ควรหรือไม่ควรกระทำแล้วจริงหรือ
มันเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมแล้วจริงหรือ
หรือแม้กระทั่ง ถูกต้อง หรือ ไม่ถูกต้องแล้วจริงหรือ
ว่ามันเป็นสิ่งที่ควรหรือไม่ควรกระทำแล้วจริงหรือ
มันเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมแล้วจริงหรือ
หรือแม้กระทั่ง ถูกต้อง หรือ ไม่ถูกต้องแล้วจริงหรือ
และหลายครั้ง
เรารับรู้ ข้อเท็จจริง ข้อมูล และข่าวสาร มากมาย
ที่อาจสร้างผลกระทบต่อใครต่อใครอีกหลายคน
แต่เราเลือกว่าจะ เพิกเฉย หรือ เปิดเผย ดีล่ะ
แต่เราเลือกว่าจะ เพิกเฉย หรือ เปิดเผย ดีล่ะ
ถ้ามันส่งผลกระทบและมีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดความเสียหายต่อตัวเองมากเกินไป
บางคนก็เลือกที่จะเพิกเฉยและปล่อยไป
แต่กับใครบางสำหรับใครบางคน
แต่กับใครบางสำหรับใครบางคน
เขาเลือกที่จะเปิดเผย
และไม่ให้มันเงียบหายไปเหมือนเรื่องราวทั่วไปที่ผ่านเข้ามาในชีวิตแค่ครั้งหนึ่ง
และ
สโนว์เดนเป็นตัวอย่างของคนหนึ่งคน
ที่ไม่ได้หยุดความคิดและการกระทำอยู่แค่ฉุกคิด
ตั้งคำถามไปมากับตัวเอง
หรือแม้กระทั่งพูดคุยเล่าสู่กันฟังกับผู้อื่นแค่บทสนทนาเรื่องหนึ่งในชีวิตประจำวันทั่วไป
แต่
เขาก็เลือกที่นำข้อเท็จจริง ข้อมูลต่างๆ ออกมาเผยแพร่ให้กับคนทั่วไปได้รับรู้
เพียงเพื่อให้ทุกคนสามารถใช้สิทธิที่ตัวเองพึ่งมีตัดสินใจว่าเหตุการณ์แบบนี้ สามารถกระทำได้ หรือ ไม่ควรกระทำกันแน่
เขาก็เลือกที่นำข้อเท็จจริง ข้อมูลต่างๆ ออกมาเผยแพร่ให้กับคนทั่วไปได้รับรู้
เพียงเพื่อให้ทุกคนสามารถใช้สิทธิที่ตัวเองพึ่งมีตัดสินใจว่าเหตุการณ์แบบนี้ สามารถกระทำได้ หรือ ไม่ควรกระทำกันแน่
ประโยคสุดท้าย ที่ สโนว์เดน พูดในหนัง
"When I left Hawaii, I lost everything. I had a stable life, stable love, family, future. And I lost that life, but, I've gained a new one, and I am incredibly fortunate," Snowden says. "And I think the greatest freedom that I've gained is the fact that I no longer have to worry about what happens tomorrow, because I'm happy with what I've done today."
กับการที่เขาเลือกที่จะสูญเสียทุกสิ่ง ชีวิตที่มั่นคง ความรักที่มั่นคง ครอบครัว
อนาคต และ สูญเสียการใช้ชีวิต
แต่เขากลับได้รับชีวิตใหม่ และ อิสระที่ยิ่งใหญ่
ซึ่งเป็นความจริงที่ไม่ต้องกังวลว่า
พรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น แต่
เขาก็มีความสุขกับสิ่งที่เขาทำวันนี้
(ไม่ค่อยมั่นใจในการแปลภาษาอังกฤษเท่าไร
แต่คิดว่าประมาณนี้นะจากความเข้าใจ)
คำพูดทิ้งท้ายของหนัง ทำให้คิดได้อย่างหนึ่งว่า
แล้วถ้าเป็นเราล่ะ
เราจะเลือกเพิกเฉย หรือ เปิดเผย สิ่งเหล่านี้
ท้ายที่สุดแล้ว
ยังไม่ต้องไปมองไกล ถึงเรื่องราว ระดับโลก
ระดับนานาชาติ ระดับประเทศ
ซึ่งมันอาจจะไกลตัวมากไปนิดนึง
ลองมองแค่เหตุการณ์รอบตัวหรือใกล้ตัวของเราก็ได้ว่า
ถ้าแค่เป็นเหตุการณ์หรือเรื่องราวที่ไม่ควรกระทำ
ลองมองแค่เหตุการณ์รอบตัวหรือใกล้ตัวของเราก็ได้ว่า
ถ้าแค่เป็นเหตุการณ์หรือเรื่องราวที่ไม่ควรกระทำ
ไม่เหมาะสมหรือไม่ถูกต้อง
ที่เราสามารถนำเสนอข้อเท็จจริงได้
หรือ
ช่วยเหลือ
หรือ
เป็นประโยชน์ต่อผู้คนทั่วไป
ทุกวันนี้เราเลือกที่จะเพิกเฉย หรือ เปิดเผย มากกว่าล่ะ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น