เมื่อวานนี้
มีโอกาสได้ไปกินข้าวเย็นกับเพื่อนสนิทคนหนึ่งสมัยประถม
ซึ่งที่จริงเราก็ค่อยข้างห่างเหินกันไปพอสมควร
เนื่องจากไม่ได้พูดคุยกันมากเท่าแต่ก่อน เพราะนางมีครอบครัว และลูกที่ต้องดูแล เลยทำให้เวลาของเราสองคนไม่ค่อยจะตรงกันเท่าไร
ประกอบกับ วิธีชีวิตและแนวคิดของเราสองคน
ค่อยข้างจะมีจุดแตกต่างกันพอสมควรในหลายๆเรื่อง
ด้วยความที่เราเป็นผู้หญิงโสดทำงานประจำ ส่วนนางเป็นแม่บ้านทำงานดูแลลูกเป็นหลัก
แค่เริ่มต้น ด้วย สถานะทางสังคม วิธีทางการชีวิต มันก็น่าจะทำให้เห็นได้ถึงความไม่เหมือนกันได้อย่างชัดเจน
อีกทั้งนางกับเพื่อนสนิทของเราอีกคนก็มีเรื่องไม่เข้าใจกัน ถึงขึ้นทะเลาะกันไปใหญ่โตด้วย
เราในฐานะคนที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ เลยต้องตกที่นั่งเป็นคนกลางไปโดยปริยาย
พอถึงมื้ออาหาร นางก็เล่าที่มาที่ไปต่างๆนานา
ถึงสาเหตุที่เป็นเหตุที่จะทำให้นางทั้งสองทะเลาะกัน
ฟังไปฟังมาเรื่องจากมุมที่นางเล่า
ฟังดูแล้วมันก็ช่างแตกต่างกับเรื่องที่เพื่อนอีกคนเล่าเสียเหลือเกิน ประหนึ่งเหมือนเรากำลังฟังเรื่องคนละเรื่อง หรือ เพลงคนละเพลงเสียด้วยซ้ำ ทำให้คนฟังอย่างเรา ถึงขั้นสับสนไปเลยทีเดียว
พอฟังจากเนื้อหาแล้ว
แต่ละคนล้วนแล้วแต่ใส่ความคิดของตนลงไป
โดยสรุปจากสิ่งที่ตัวเองคิด เ
หมือนกับเวลาเห็นเด็กมาขอทาน แล้วเห็นคนปฎิเสธไร้เยื่อใย ไม่ซื้อ เราก็มักเผลอมองว่าเขาเป็นคนไม่อ่อนโยน ไม่มีน้ำใจบ้างล่ะ บางคนมองว่าอาจจะเป็นขบวนการไม่ให้อ่ะดีแล้ว
เห็นคนที่หน้าตามอมแมม มอซอ ก็รีบเดินหนีให้ห่างเพราะคิดว่าเขาติดยา เป็นโรคจิต จะมาทำอันตรายทำร้ายเราได้ หรือ บางคนอาจมองว่า เขาอาจจะเป็นที่สติไม่ดี น่าสงสารที่ไม่มีที่อยู่ก็ได้
เห็นผู้หญิงหน้าตาร้าย แต่งตัวเก่ง แต่งหน้าจัด บางคนมองวว่า ต้องเป็นผู้หญิงไม่ดี นิสัยร้าย รักสบาย ทำงานไม่เป็น บางคนมองว่า ผู้หญิงคนนี้ดูเซ็กซี่ น่าสนใจดี น่าจะเป็นคนเก่งก็ได้
หลายครั้ง
เราตัดสินคนรอบตัว จาก รูปร่าง หน้าตา เสื้อผ้า ฐานะ การวางตัว ที่เราเห็น
และ จากการที่เราได้สัมผัสคนลักษณะแบบนี้ การกระทำแบบนี้
เราก็แอบประเมินค่าของเขาว่าต้องเป็นแบบนี้ แบบนั้น เ
หมือนที่เราเคยพบใจ หรือ จากที่เราคิดเอาจากประสบการณ์ในอดีตที่ผ่านมาที่เราพบเจอคนแบบเดียวกัน หรือจะแม้กระทั่งเรารับรู้ หรือได้มองเห็นจากสื่อทั่วๆไป
เราต่างฟังเรื่องราวของผู้คน
ผ่านเข้ามาในหูของเรา
ผ่านมุมมองความคิดความเข้าใจของตัวเราเอง
จะมีสักกี่ครั้งที่เราจะลองเอาตัวเองไปนึกคิดและจินตนาการตัวเองว่า
ถ้าเรามีรูปร่าง หน้าตา ฐานะ แบบเขา
เราจะยังคงวางตัวแบบที่เราเป็น หรือ จะเป็นในแบบที่เขาเป็นทุกวันนี้กันแน่
เราเข้าใจผู้อื่น ในแบบที่เราไม่ได้มีพื้นฐานชีวิต สิ่งแวดล้อมที่พบเจอเหมือนอย่างเขา
เราจึงเข้าใจเขาในแบบที่เราคิด
และนี่คงสิ่งที่เรียกว่า ความแตกต่างทางด้านความคิดของผู้คน
ถ้าเราทุกคนต่างฟังกันและกันอย่างเปิดใจ โดยมองสถานการณ์ เหตุการณ์ เรื่องราวต่างๆนั้น ผ่านสายตาของผู้พูด แทนสายตาจากผู้ฟัง บางที เราอาจจะเข้าใจผู้อื่นมากขึ้นก็เป็นได้
มันคงจะเป็นการฟัง ที่เรียกว่า ฟังกันและกันอย่างเข้าใจที่แท้จริง
ทุกวันนี้ฉันก็ไม่รู้หรอกว่า ฉันฟังผู้อื่นได้เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วหรือยัง
หรือ
ยังเผลอไผลแอบตัดสินเขาในมุมมองของฉันอยู่บ้างรึป่าว
แต่สิ่งหนึ่งที่จะบอกตัวเองไว้เสมอว่า
จงรับฟังอย่างที่คิดว่า ถ้าเรามีชีวิตแบบเขา มีเงินเท่าเขา มีรูปร่างหน้าตาเหมือนเขา มีสิ่งแวดล้อมที่เจอแบบเขา ผ่านชีวิตในวัยเด็กแบบเขา ผ่านเรื่องราวประสบการณ์ชีวิตเหมือนเขา
เราจะยังคงคิดแบบที่เราคิด
หรือ
คิดต่างจากที่เขาคิดกันแน่
การรับฟังใครสักคนไม่ใช่เรื่องยาก และ ยิ่งการรับฟังอย่างเข้าใจก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เช่นเดียวกัน
อย่าเผลอตัดสินใคร จากการฟัง
เพราะถ้าคุณไม่ได้รู้จักใครสักคนดีพอ
คุณอาจจะทำสิ่งผิดพลาดอย่างที่คุณก็คาดไม่ถึง ได้เหมือนกัน
by H'esdy
https://www.facebook.com/HappyEverySingleDay/
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น