การเดินทางย้ายไปอีกเมืองพร้อมกระเป๋าเดินทางหนักร่วม 20 กว่าโล แถมยังมีฝนตกหนักมากซ้ำอีก
มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆสำหรับผู้หญิงร่างเล็กผอมบางนางหนึ่ง
มีนนา ต้องลากกระเป๋าใบโตของหล่อนไปตามทาง ทั้งต้องแบกขึ้นรถบัส ลากต่อไปขึ้นรถไฟ
เพื่อไปต่อที่เมืองเล็กๆ เมืองนึง
เมืองนี้เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัย ที่น้องสาวคนนึงเรียนรู้
“ธันวี” เป็นเด็กผู้หญิงค่อยข้างๆเงียบๆเรียบร้อยจิตใจดี
ด้วยความที่เราเคยทำงานด้วยกันที่บริษัทนึง ก่อนที่เขาจะมาเรียนต่อที่นี่
เลยมีโอกาสได้ติดต่อพูดคุยกัน
และ มีนนาได้ตกลงใจมาพักที่นี่ระยะนึงเพื่อท่องเทียวเมืองรอบๆแถวนี้
หลังจากใช้เวลาเดินทางนานพอสมควร ก็มาถึงจนได้ ที่นี่ สวย เงียบ สงบ
บรรยากาศดีมาก
มีนนาวางแผนไว้ว่าจะอยู่ที่นี่ ประมาณอาทิตย์นึง
โดยที่บางวันธันวีก็พาเที่ยวบ้าง ถ้าน้องไม่ติดเรียน ส่วนวันที่เหลือ
มีนนาก็นั่งรถไฟไปท่องเทียวตามเมืองต่างๆเรื่อยๆเปื่อยๆไป
การได้มีโอกาสเดินทางไปไหนมาไหนในที่ทางต่างเมือง
มันก็เหมือนการเยียวยารักษาความเจ็บปวดทางใจให้กับตัวเธอได้ดี
เพราะถ้าทุกวันนี้ มีนนายังคงใช้ชีวิตที่เมืองไทย
นางก็คงนั่งร้องไห้ หรือไม่ก็ใช้ชีวิตแกนๆแบบตรอมใจจากความทุกข์ระทมจากการอกหักอยู่ทุกๆวัน
แต่การได้มาเห็นสิ่งแปลกตา แปลกใหม่
มันก็พาให้หัวใจ ให้ความรู้สึกไปตื่นเต้นกับสิ่งเหล่านั้น
แม้บางช่วงเวลาจะมีภาพเก่าแว๊บมาบ้าง ความรู้สึกผุดขึ้นมาบ้าง
พอนางคิดถึงได้ว่า นั่งเครื่องบินมาตั้งไกล เสียค่าเดินทางมาก็เยอะ
จะหมดเปลืองเวลาไปกับความอาลัยอาวรณ์ที่ผ่านไปแล้วเผื่ออะไร
การอยู่กับปัจจุบันตรงหน้า ก็น่าจะเป็นสิ่งที่น่าสนใจ หรือ
ให้ความสำคัญมากกว่านะ
วันสุดท้ายของที่นี่ มีนนา ซาบซึ้ง กับ การดูแล เอาใจใส่จากธันวี มาก
เพราะ นางดูแลใสใจ เป็นห่วงเป็นใย
และ ช่วยเหลือในการจองตั๋วรถไฟไปเที่ยวที่ต่างๆ รวมทั้งยังพาไปเที่ยวสวนสนุกและปราสาทสวยๆหลายทีในเมืองนี้อีกด้วย
มีนนาบอกลา น้องสาวที่น่ารักคนนี้ และ ระหว่างทางที่เดินทางไปอีกเมือง
เธอได้บันทึกลงไดอารี่เล่มโปรดว่า
“สิ่งสำคัญของมิตรภาพดีดีไม่ได้อยู่ที่ว่า เรารู้สึกต่อกันนานเท่าไหน
หรือ เราสนิมสนมรู้จักกันและกันมากแค่ไหน
แต่อยู่ที่ว่า เราใส่ใจในทุกๆครั้งที่เราได้พบกัน และ
ดูแลทุกความรู้สึกในปัจจุบันของมิตรภาพเหล่านั้นได้ดีแค่ไหนมากกว่าล่ะ”
และเมื่อเขียนไดอารี่จบ รถไฟก็มาเทียบชานชลา ณ เมืองถัดไปพอดี
การก้าวเท้าลงบันไดแต่ละขั้นจากรถไฟลงไปที่นี่ ต่างกับทุกที่ที่ผ่านมา
เพราะหัวใจเต้นสั่นระรัวด้วยความรู้สึกทั้งกลัว ทั้งตื่นเต้น ทั้งดีใจ
ทั้งเสียใจ ทั้งสับสน ปนมั่วกันไปหมด
ก็เพราะ ที่นี่ คือ
เมืองที่มีมหาวิทยาลัยที่ เขา ผู้เคยเป็นอดีตจุดหมายปลายทางของทริปนี้
กำลังศึกษาต่ออยู่
แต่เธอก็ไม่ได้บอกเขาหรอกนะ ว่าจะมาที่นี่วันไหนและเมื่อไหร่
เพราะในเมื่อเขาก็ไม่ได้อยากให้เธอมาตั้งแต่แรก
หลังจากที่เขาบอกเลิกกันก่อนที่เราจะเดินทางมาที่นี่แล้ว
มีนนาสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วก็เดินหน้ามุ่งตรงหาที่พักที่ได้จองจากเมืองไทยไว้
เข้าที่พักเก็บของเรียบร้อย ก็เลยออกมาเดินเล่น
ที่จริงที่นี่ก็ไม่ได้มีแผนการไรไว้มาก
วันแรกก็คงแค่เดินเล่นทั่วไปดูบรรยากาศโดยรวม หาข้าวเย็นทาน
แค่นั้นเอง
แต่ด้วยความที่ได้คืนซิมการ์ดเก่า กับ ธันวีไปแล้ว อันดับแรกเลยต้องใช้เวลาหาซิมก่อนเลย
ไม่งั้นเวลาหลงทางคงจะลำบากหาอะไรยากอยู่
หลังจากได้ซิมเรียบร้อย ด้วยความที่เหมือนโทรศัพท์เหมือนจะพบปัญหาบางอย่าง
เลยต้องตามหา wifi ชั่วคราวเพื่อตรวจสอบก่อน
มีนนาก็ได้ไปหยุดเล่นมือถือ ที่หน้าร้านกาแฟชื่อดังแห่งหนึ่งในเมือง
หลังจากนั้นไม่นาน มีคนเรียกชื่อเธอเป็นภาษาไทย
ทำให้มีนนาถึงกับต้องหยุดชะงัก
และหันไปพบกับ เขา
มงกร ยืนอยู่ตรงหน้าเธออย่างจังอีกครั้ง
ความรู้สึกของมีนนาในตอนนี้ มันพูดอะไรแทบไม่ออก
ร่างกายสั่นเทา จะว่าเป็นไปด้วยความหนาวเย็นของอากาศที่นี่ก็คงไม่ใช่
เพราะเสื้อสเวตเตอร์ที่สวมใส่มาก็หนาพอสมควร
จะว่าตื่นเต้นก็ตื่นเต้น จะว่าตกใจก็ตกใจ จะว่าดีใจก็ดีใจ
ประโยคแรกที่มงกรเอ่ยทัก คือ ไม่น่าเชื่อนะ ว่าจะได้เจอที่นี่
ไม่คิดว่าจะมาได้จริงๆ
มีนนาเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า ก็บอกแล้วไงว่าจะมา
ก็ต้องมาให้ได้
มงกร : ก็บอกแล้วอยากให้มาตอนที่โอเคกว่านี้ มาตอนนี้ก็ไม่สนุกหรอก แผลใจก็ยังไม่หายดี
มีนนา : แผลใจ จะเป็นแผลสด หรือ แผลแห้ง มันก็ยังเป็นแผล ที่รู้สึกเจ็บอยู่ดีนั่นแหล่ะ
พูดยังไม่ทันจะจบประโยคดี น้ำตาก็เริ่มทะลักไหลล้นออกมาจากสองตา
จนมีนนาต้องหันหลังกลับอย่างรวดเร็ว แล้วรีบเดินจ้ำอ้าว สาวเท้าจากไปอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
เธอเดิน และ เดิน และ เดิน และ เดิน ไปเรื่อยๆ ไม่รู้หรอกว่าจะไปไหน
รู้แค่ว่าไปให้ไกลจากตรงนั้นมากที่สุด
จนในที่สุด ก็มาหยุดอยู่ที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่ง
มีนนานั่งลงพร้อมกับปาดน้ำตาที่มันดูไม่มีที่ท่าจะหยุดไหลเลย
ปาดไปทีนึง ก็ไหลมาใหม่อีกทีนึง ปาดไปอีกทีนึง ก็ไหลมาอีกทีนึง ปาดไปอีกที
ก็ไหลเยอะขึ้นอีก ปาดไปอีก ก็ไหลอย่างต่อเนื่อง
เธอเพิ่งเข้าใจคำว่า น้ำตาไหลเป็นสายเลือดก็คราวนี้เอง
ผ่านไปสักพักใหญ่ คงเพราะด้วยความเหนื่อยล้าจากน้ำตาไหลอย่างบ้าคลั่ง
มีนนาก็ได้พบว่า มงกรไม่เหมือนเดิมแล้วจริงๆ
เพราะถ้าเป็นแต่ก่อนเขาคงต้องรีบตามมาให้ไว
แต่นี่อะไร หายจ๊อย ไม่มีเห็นแม้แต่เงา
และเธอได้เริ่มเรียนรู้ว่า ความรักที่ไม่เหมือนเดิม มันเป็นเช่นไร
วันนี้เหนื่อยกันมามากแล้ว มีนนาเดินกลับที่พักอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง
ไม่มีแม้แต่กระจิตกระใจจะเขียนไดอารี่ ได้แต่นอนร้องไห้ จนเผลอหลับไป
เช้าวันใหม่ มีนนาตื่นมาด้วยดวงตาที่บวมตุ่ยเหมือนคนถูกต่อย
และก็คิดทบทวนไปมาว่าจะเอาไงกับของขวัญที่เคยทำเตรียมไว้กะจะมาให้เซอร์ไพส์พร้อมฉลองครอบรอบกับเขาที่นี่
ซึ่งก่อนหน้านี้ตั้งใจเลือกว่าจะส่งไปรษณีย์จากที่นี่ให้กับเขา
แต่พอได้เจอเขา เลยเกิดความคิดอีกทีว่า จะส่งไปเหมือนเดิมดี หรือ
จะไปให้กับเจ้าตัวโดยตรงดีกว่ากัน
และก็ได้ข้อสรุปว่า
การนัดเจอกันกับเขาเลยเกิดขึ้น และหลังจากนั้นเราก็ได้คุยกันอีกครั้ง
การพูดคุยก็ว่าด้วยเรื่องปกติทั่วไป ถามสารทุกข์สุขดิบกันไปมา
แต่มาจบลงตรงที่ มงกรชวนให้ไปพักกับเขาที่หอ
มีนนาคิดไม่ตก เพราะ มันก็เป็นเรื่องยากเหมือนกันนะ ที่จะเลือกว่าจะเอายังไง
แต่ความรู้สึกลึกๆในใจของเธอมันส่งสัญญาณอะไรบางที่ทำให้รู้สึกว่า
การไปอยู่ที่นั่นจะทำให้เธอได้รับรู้ความจริงอะไรบางอย่างจากการเปลี่ยนไปครั้งนี้
ซึ่งมีนนาก็เลยถามมงกรไปตรงๆว่า ถ้าเธอไปพักด้วย
จะบอกทุกเรื่องที่เธออยากรู้ใช่ไหม
พอเขาผยักหน้ารับคำ
มีนนาเลยถามประโยคที่ค้างคาใจบางอย่างว่า
เขาเจอคนที่รู้สึกดีด้วยที่นี่ใชไหม
มงกรชะงัก และอึ้งไป กับคำถามตรงๆของมีนนา และ การพยักหน้าอย่างช้าๆของเขา
ก็แทนคำตอบทั้งหมดได้ดี
พร้อมกับ น้ำตามีนนาก็ไหลอย่างช้าๆ จนตัวเธอเองก็ไม่รู้จะห้ามมัน
ให้หยุด ได้อย่างไรเหมือนกัน
เย็นวันเดียวกันนั้นเอง การได้มาเห็นห้องของเขาในวันนี้
มันก็แตกต่างกับความรู้สึกที่เราเคยได้เห็นกัน ผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์เหมือนที่ผ่านมา
แต่สิ่งที่แตกต่างกันอย่างมาก คือ ความรู้สึกของเขา
ที่ตอนนี้ ถึงเราจะอยู่ใกล้กันแค่ช่วงหนึ่งก้าว แต่มันช่างดูห่างเหินเย็นชาราวกับห่างกันเป็นพันๆไมล์
ช่องว่างกว้างๆ ระหว่างเรา มันใหญ่มากพอ
ที่จะใส่สนามฟุตบอลอาเซนอลลงไปได้เลยทีเดียว
เนื่องจากคืนนี้เขามีเพลนไปปาร์ตี้กับเพื่อน
เขาเลยว่าถ้าง่วงก็นอนไปเลย หรือจะเล่นคอมพิวเตอร์ก็ใช้ได้เลยนะ
ด้วยความอยากรู้อยากเห็นก็ดูนั่นโน่นนี่ไปเรื่อย และ ไปสะดุดตากับอัลบัมรูปชุดหนึ่ง
มันก็คงดูเหมือนรูปไปเที่ยวกับเพื่อนทั่วไปแหล่ะ
แต่ด้วย สไตส์ของภาพถ่าย มันค่อนข้างดูใกล้เคียงกับวิธีการถ่ายรูปของมงกรค่อนข้างมากเสียเหลือเกิน
แถมยังจะมีรูปใครคนหนึ่งที่เยอะมากเป็นพิเศษ
ด้วยแอคชั่นท่าทาง ถ้ามองผ่านๆ มันก็คงจะดูเป็นรูปภาพปกติ
แต่ด้วยความที่ เราทั้งสองคนเคยได้ไปเที่ยวด้วยกัน และ ถ่ายรูป
ด้วยกันมาหลายต่อหลายที่ และ หลายต่อหลายครั้ง
จนพอจะคาดเดาลักษณะของภาพถ่าย การวางตำแหน่งต่างๆในภาพนั้นๆ ได้ดี
ว่ามีลักษณะเฉพาะ พิเศษยังไง ที่เป็นเอกลักษณ์การถ่ายรูปของเขา
และนั่น ก็ทำให้มีนนา ได้เรียนรู้เพิ่มเป็นอย่างที่สองว่า นี่ซินะ คือ
คนที่ทำให้เขารู้สึกดี
มันจะไม่รู้สึกอะไรเลย
ถ้าช่วงเวลานั้นไม่ได้ตรงกับช่วงเวลาที่เธอบอกเลิกกัน
เช้าวันรุ่งขึ้น มีนนา
ตื่นขึ้นมาพบกับข้อความโพสอิทจาก มงกร ที่เขียนแปะไว้บนโน๊ตบุ๊คว่า
วันนี้พาไปเที่ยวไม่ได้แล้วนะ ติดธุระ เขาเลยแนะนำว่าให้ไปติดต่อพวก 1
day trip ที่สถานี แล้วไปลองเที่ยวดูเองนะ
หลังจากมีนนาขึ้นรถบัส
ก็พบว่าตัวเองขึ้นผิดทาง จะลงก็กลัวหลง
เลยตัดสินใจนั่งต่อไปเรื่อยๆ เธอเชื่อว่าเดี๋ยวมันก็วนไปเจอปลายทางเหมือนกันนั่นแหล่ะ
และความผิดพลาดนี้เอง ทำให้เธอได้เห็นภาพของมงกร อยู่กับเพื่อน และ
หนึ่งคนที่อยู่ข้างๆเขา คือ คนในภาพที่เห็นจากคอมพิวเตอร์เมื่อคืนก่อนชัดๆเต็มสองตา
หลังจากรถบัสผ่านหน้ามงกรไปโดยที่เขาไม่ทันได้สังเกตุเห็นเธอ
มีนนาเบือนหน้ามาอีกทางของหน้าต่างรถบัส ด้วยสีหน้าเรียบเฉย คราวนี้ไม่มีน้ำตาไหลแม้จะเอ่อล้นออกมา
เธอบรรจงพิมพ์ข้อความไปบอกเขา ว่า ถ้าจะมากับเขาคนใหม่นั้น
ก็น่าจะบอกกันตรงๆได้นะ ไม่เห็นจะมาโกหกกันแบบนี้เลย
หลังจากนั้นมีนนาก็ใช้วันทั้งวันในการท่องเที่ยวกับทัวน์
โดยที่ไม่มีวี่แววของความเสียใจอีกเลย
ซึ่งตัวเธอเองก็อดแปลกใจไม่น้อย กับความรู้สึกของตัวเอง ว่าเพราะอะไร
ความเสียใจ น้ำตาของความเศร้าถึงได้แห้งเหือดหายไป เหมือนกับไม่ได้รู้สึก รู้สากับการกระทำของเขาอีกเลย
หลังจากเที่ยวเสร็จ เรากับเขาก็มีนัดทานข้าวเย็นกัน
มีนนาเลยถือโอกาสบอกมงกรไปว่า
ถ้าจะไปไหนกับใครก็บอกเธอตรงๆได้นะ เพราะเราเลิกกันแล้ว เป็นเพื่อนกัน
ไม่จำเป็นต้องปกปิดไรกันหรอก
มงกรเลยอธิบายว่าตอนนี้คนที่เขารู้สึกดีด้วยยังไม่รู้ตัวเลย เหมือนเป็นเพื่อนกันอยู่ก็เท่านั้น
มีนนาก็ได้แต่รับฟัง พยักหน้าอย่างเข้าใจ
และเรื่องมันก็บังเอิญซ้ำอีกครั้ง อย่างกับละครหลังข่าวทางช่อง
7
ระหว่างที่คุยกันไป ทานข้าวกันไป
เขาคนนั้นก็ดันเดินเข้ามาทานในร้านเดียวกันกับเราเช่นกัน
การกินอาหารมื้อนี้ มีนนา สัมผัสได้ถึงท่าทีความเปลี่ยนไปที่มากขึ้นกว่าเดิมของมงกร
เขาดูร้อนรน ดูเป็นกังวล และเป็นห่วงเป็นใย
ความรู้สึกของเขาคนนั้นค่อนข้างมาก
ทำให้เห็นชัดถึงความสัมพันธ์ที่ห่างเหินกัน
และความรักระหว่างเราที่ลดลงมาก ได้อย่างชัดเจน
แม้ระยะห่างระหว่างเราตอนนี้มันใกล้แค่เพียงเอื้อมมือ
แต่เธอกลับรู้สึกว่า เขาอยู่ไกลแสนไกลจนเธอไม่มีวันที่จะเข้าใกล้ถึงใจได้เลย
หัวใจของมีนนาตอนนี้ เปรียบเหมือน กระสอบทราย ในค่ายมวย
ที่โดนนักมวยทั้งเตะ ทั้งต่อย ทั้งศอก ทั้งเข่า จนดูน่วมไปหมด ภายนอกอาจดูปกติดีไม่มีอาการใดๆ
มันยังคงทำหน้าที่ของกระสอบทรายได้ดี
ทั้งที่โดนซ้อมอีกสักเท่าไรก็ยังเคลื่อนตัวไป รับผิดชอบทำตามหน้าที่ของตัวเองได้อย่างดี
ไม่มีเกเร
แม้ภายในจะบอบช้ำ
จนไม่เหลือที่ว่างให้ฝากริ้วรอยความเจ็บปวดอีกแล้วก็ตาม
ในคืนเดียวกันนั้นเอง เขาก็เอ่ยปากชวนเธอไปสังสรรค์กับเพื่อนๆของเขา
มีนนาก็ยังคงเดินสายสตรองตอบไปว่า ตกลง …………….. (2)
By H’esdy
hesdyme.blogspot.com

ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น