23 Days Move On (1)



การเดินทางย้ายไปอีกเมืองพร้อมกระเป๋าเดินทางหนักร่วม 20 กว่าโล แถมยังมีฝนตกหนักมากซ้ำอีก

มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆสำหรับผู้หญิงร่างเล็กผอมบางนางหนึ่ง

 

มีนนา ต้องลากกระเป๋าใบโตของหล่อนไปตามทาง ทั้งต้องแบกขึ้นรถบัส ลากต่อไปขึ้นรถไฟ เพื่อไปต่อที่เมืองเล็กๆ เมืองนึง

เมืองนี้เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัย ที่น้องสาวคนนึงเรียนรู้

ธันวี เป็นเด็กผู้หญิงค่อยข้างๆเงียบๆเรียบร้อยจิตใจดี

ด้วยความที่เราเคยทำงานด้วยกันที่บริษัทนึง ก่อนที่เขาจะมาเรียนต่อที่นี่ เลยมีโอกาสได้ติดต่อพูดคุยกัน

และ มีนนาได้ตกลงใจมาพักที่นี่ระยะนึงเพื่อท่องเทียวเมืองรอบๆแถวนี้

 

หลังจากใช้เวลาเดินทางนานพอสมควร ก็มาถึงจนได้ ที่นี่ สวย เงียบ สงบ บรรยากาศดีมาก

มีนนาวางแผนไว้ว่าจะอยู่ที่นี่ ประมาณอาทิตย์นึง

โดยที่บางวันธันวีก็พาเที่ยวบ้าง ถ้าน้องไม่ติดเรียน ส่วนวันที่เหลือ มีนนาก็นั่งรถไฟไปท่องเทียวตามเมืองต่างๆเรื่อยๆเปื่อยๆไป

 

การได้มีโอกาสเดินทางไปไหนมาไหนในที่ทางต่างเมือง

มันก็เหมือนการเยียวยารักษาความเจ็บปวดทางใจให้กับตัวเธอได้ดี

เพราะถ้าทุกวันนี้ มีนนายังคงใช้ชีวิตที่เมืองไทย

นางก็คงนั่งร้องไห้ หรือไม่ก็ใช้ชีวิตแกนๆแบบตรอมใจจากความทุกข์ระทมจากการอกหักอยู่ทุกๆวัน

 

แต่การได้มาเห็นสิ่งแปลกตา แปลกใหม่

มันก็พาให้หัวใจ ให้ความรู้สึกไปตื่นเต้นกับสิ่งเหล่านั้น

แม้บางช่วงเวลาจะมีภาพเก่าแว๊บมาบ้าง ความรู้สึกผุดขึ้นมาบ้าง

พอนางคิดถึงได้ว่า นั่งเครื่องบินมาตั้งไกล เสียค่าเดินทางมาก็เยอะ

จะหมดเปลืองเวลาไปกับความอาลัยอาวรณ์ที่ผ่านไปแล้วเผื่ออะไร

การอยู่กับปัจจุบันตรงหน้า ก็น่าจะเป็นสิ่งที่น่าสนใจ หรือ ให้ความสำคัญมากกว่านะ

 

วันสุดท้ายของที่นี่ มีนนา ซาบซึ้ง กับ การดูแล เอาใจใส่จากธันวี มาก เพราะ นางดูแลใสใจ เป็นห่วงเป็นใย

และ ช่วยเหลือในการจองตั๋วรถไฟไปเที่ยวที่ต่างๆ รวมทั้งยังพาไปเที่ยวสวนสนุกและปราสาทสวยๆหลายทีในเมืองนี้อีกด้วย

 

มีนนาบอกลา น้องสาวที่น่ารักคนนี้ และ ระหว่างทางที่เดินทางไปอีกเมือง

เธอได้บันทึกลงไดอารี่เล่มโปรดว่า

สิ่งสำคัญของมิตรภาพดีดีไม่ได้อยู่ที่ว่า เรารู้สึกต่อกันนานเท่าไหน หรือ เราสนิมสนมรู้จักกันและกันมากแค่ไหน

แต่อยู่ที่ว่า เราใส่ใจในทุกๆครั้งที่เราได้พบกัน และ ดูแลทุกความรู้สึกในปัจจุบันของมิตรภาพเหล่านั้นได้ดีแค่ไหนมากกว่าล่ะ

และเมื่อเขียนไดอารี่จบ รถไฟก็มาเทียบชานชลา ณ เมืองถัดไปพอดี

 

การก้าวเท้าลงบันไดแต่ละขั้นจากรถไฟลงไปที่นี่ ต่างกับทุกที่ที่ผ่านมา

เพราะหัวใจเต้นสั่นระรัวด้วยความรู้สึกทั้งกลัว ทั้งตื่นเต้น ทั้งดีใจ ทั้งเสียใจ ทั้งสับสน ปนมั่วกันไปหมด

 

ก็เพราะ ที่นี่ คือ

เมืองที่มีมหาวิทยาลัยที่ เขา ผู้เคยเป็นอดีตจุดหมายปลายทางของทริปนี้ กำลังศึกษาต่ออยู่

แต่เธอก็ไม่ได้บอกเขาหรอกนะ ว่าจะมาที่นี่วันไหนและเมื่อไหร่

เพราะในเมื่อเขาก็ไม่ได้อยากให้เธอมาตั้งแต่แรก หลังจากที่เขาบอกเลิกกันก่อนที่เราจะเดินทางมาที่นี่แล้ว

 

มีนนาสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วก็เดินหน้ามุ่งตรงหาที่พักที่ได้จองจากเมืองไทยไว้

เข้าที่พักเก็บของเรียบร้อย ก็เลยออกมาเดินเล่น

ที่จริงที่นี่ก็ไม่ได้มีแผนการไรไว้มาก

วันแรกก็คงแค่เดินเล่นทั่วไปดูบรรยากาศโดยรวม หาข้าวเย็นทาน แค่นั้นเอง

 

แต่ด้วยความที่ได้คืนซิมการ์ดเก่า กับ ธันวีไปแล้ว อันดับแรกเลยต้องใช้เวลาหาซิมก่อนเลย

ไม่งั้นเวลาหลงทางคงจะลำบากหาอะไรยากอยู่ 

 

หลังจากได้ซิมเรียบร้อย ด้วยความที่เหมือนโทรศัพท์เหมือนจะพบปัญหาบางอย่าง

เลยต้องตามหา wifi ชั่วคราวเพื่อตรวจสอบก่อน

 

มีนนาก็ได้ไปหยุดเล่นมือถือ ที่หน้าร้านกาแฟชื่อดังแห่งหนึ่งในเมือง

หลังจากนั้นไม่นาน มีคนเรียกชื่อเธอเป็นภาษาไทย

ทำให้มีนนาถึงกับต้องหยุดชะงัก

และหันไปพบกับ เขา

มงกร ยืนอยู่ตรงหน้าเธออย่างจังอีกครั้ง

 

ความรู้สึกของมีนนาในตอนนี้ มันพูดอะไรแทบไม่ออก

ร่างกายสั่นเทา จะว่าเป็นไปด้วยความหนาวเย็นของอากาศที่นี่ก็คงไม่ใช่

เพราะเสื้อสเวตเตอร์ที่สวมใส่มาก็หนาพอสมควร

จะว่าตื่นเต้นก็ตื่นเต้น จะว่าตกใจก็ตกใจ จะว่าดีใจก็ดีใจ

ประโยคแรกที่มงกรเอ่ยทัก คือ ไม่น่าเชื่อนะ ว่าจะได้เจอที่นี่ ไม่คิดว่าจะมาได้จริงๆ 

 

มีนนาเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า ก็บอกแล้วไงว่าจะมา ก็ต้องมาให้ได้

มงกร : ก็บอกแล้วอยากให้มาตอนที่โอเคกว่านี้ มาตอนนี้ก็ไม่สนุกหรอก แผลใจก็ยังไม่หายดี

มีนนา : แผลใจ จะเป็นแผลสด หรือ แผลแห้ง มันก็ยังเป็นแผล ที่รู้สึกเจ็บอยู่ดีนั่นแหล่ะ

พูดยังไม่ทันจะจบประโยคดี น้ำตาก็เริ่มทะลักไหลล้นออกมาจากสองตา

 

จนมีนนาต้องหันหลังกลับอย่างรวดเร็ว แล้วรีบเดินจ้ำอ้าว สาวเท้าจากไปอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

เธอเดิน และ เดิน และ เดิน และ เดิน ไปเรื่อยๆ ไม่รู้หรอกว่าจะไปไหน

 รู้แค่ว่าไปให้ไกลจากตรงนั้นมากที่สุด

 

จนในที่สุด ก็มาหยุดอยู่ที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่ง

มีนนานั่งลงพร้อมกับปาดน้ำตาที่มันดูไม่มีที่ท่าจะหยุดไหลเลย

ปาดไปทีนึง ก็ไหลมาใหม่อีกทีนึง ปาดไปอีกทีนึง ก็ไหลมาอีกทีนึง ปาดไปอีกที ก็ไหลเยอะขึ้นอีก ปาดไปอีก ก็ไหลอย่างต่อเนื่อง

เธอเพิ่งเข้าใจคำว่า น้ำตาไหลเป็นสายเลือดก็คราวนี้เอง

 

ผ่านไปสักพักใหญ่ คงเพราะด้วยความเหนื่อยล้าจากน้ำตาไหลอย่างบ้าคลั่ง

มีนนาก็ได้พบว่า มงกรไม่เหมือนเดิมแล้วจริงๆ เพราะถ้าเป็นแต่ก่อนเขาคงต้องรีบตามมาให้ไว

แต่นี่อะไร หายจ๊อย ไม่มีเห็นแม้แต่เงา

 

และเธอได้เริ่มเรียนรู้ว่า ความรักที่ไม่เหมือนเดิม มันเป็นเช่นไร

วันนี้เหนื่อยกันมามากแล้ว มีนนาเดินกลับที่พักอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง ไม่มีแม้แต่กระจิตกระใจจะเขียนไดอารี่ ได้แต่นอนร้องไห้ จนเผลอหลับไป

 

เช้าวันใหม่ มีนนาตื่นมาด้วยดวงตาที่บวมตุ่ยเหมือนคนถูกต่อย

และก็คิดทบทวนไปมาว่าจะเอาไงกับของขวัญที่เคยทำเตรียมไว้กะจะมาให้เซอร์ไพส์พร้อมฉลองครอบรอบกับเขาที่นี่

ซึ่งก่อนหน้านี้ตั้งใจเลือกว่าจะส่งไปรษณีย์จากที่นี่ให้กับเขา

 

แต่พอได้เจอเขา เลยเกิดความคิดอีกทีว่า จะส่งไปเหมือนเดิมดี หรือ จะไปให้กับเจ้าตัวโดยตรงดีกว่ากัน

 และก็ได้ข้อสรุปว่า

การนัดเจอกันกับเขาเลยเกิดขึ้น และหลังจากนั้นเราก็ได้คุยกันอีกครั้ง

การพูดคุยก็ว่าด้วยเรื่องปกติทั่วไป ถามสารทุกข์สุขดิบกันไปมา

แต่มาจบลงตรงที่ มงกรชวนให้ไปพักกับเขาที่หอ

 

มีนนาคิดไม่ตก เพราะ มันก็เป็นเรื่องยากเหมือนกันนะ ที่จะเลือกว่าจะเอายังไง

แต่ความรู้สึกลึกๆในใจของเธอมันส่งสัญญาณอะไรบางที่ทำให้รู้สึกว่า

การไปอยู่ที่นั่นจะทำให้เธอได้รับรู้ความจริงอะไรบางอย่างจากการเปลี่ยนไปครั้งนี้

ซึ่งมีนนาก็เลยถามมงกรไปตรงๆว่า ถ้าเธอไปพักด้วย จะบอกทุกเรื่องที่เธออยากรู้ใช่ไหม

พอเขาผยักหน้ารับคำ

มีนนาเลยถามประโยคที่ค้างคาใจบางอย่างว่า เขาเจอคนที่รู้สึกดีด้วยที่นี่ใชไหม

มงกรชะงัก และอึ้งไป กับคำถามตรงๆของมีนนา และ การพยักหน้าอย่างช้าๆของเขา ก็แทนคำตอบทั้งหมดได้ดี

พร้อมกับ น้ำตามีนนาก็ไหลอย่างช้าๆ จนตัวเธอเองก็ไม่รู้จะห้ามมัน ให้หยุด ได้อย่างไรเหมือนกัน

 

เย็นวันเดียวกันนั้นเอง การได้มาเห็นห้องของเขาในวันนี้

มันก็แตกต่างกับความรู้สึกที่เราเคยได้เห็นกัน ผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์เหมือนที่ผ่านมา

แต่สิ่งที่แตกต่างกันอย่างมาก คือ ความรู้สึกของเขา

ที่ตอนนี้ ถึงเราจะอยู่ใกล้กันแค่ช่วงหนึ่งก้าว แต่มันช่างดูห่างเหินเย็นชาราวกับห่างกันเป็นพันๆไมล์

ช่องว่างกว้างๆ ระหว่างเรา มันใหญ่มากพอ ที่จะใส่สนามฟุตบอลอาเซนอลลงไปได้เลยทีเดียว

 

เนื่องจากคืนนี้เขามีเพลนไปปาร์ตี้กับเพื่อน

เขาเลยว่าถ้าง่วงก็นอนไปเลย หรือจะเล่นคอมพิวเตอร์ก็ใช้ได้เลยนะ

 

ด้วยความอยากรู้อยากเห็นก็ดูนั่นโน่นนี่ไปเรื่อย และ ไปสะดุดตากับอัลบัมรูปชุดหนึ่ง

มันก็คงดูเหมือนรูปไปเที่ยวกับเพื่อนทั่วไปแหล่ะ

แต่ด้วย สไตส์ของภาพถ่าย มันค่อนข้างดูใกล้เคียงกับวิธีการถ่ายรูปของมงกรค่อนข้างมากเสียเหลือเกิน 

แถมยังจะมีรูปใครคนหนึ่งที่เยอะมากเป็นพิเศษ

ด้วยแอคชั่นท่าทาง ถ้ามองผ่านๆ มันก็คงจะดูเป็นรูปภาพปกติ

แต่ด้วยความที่ เราทั้งสองคนเคยได้ไปเที่ยวด้วยกัน และ ถ่ายรูป ด้วยกันมาหลายต่อหลายที่ และ หลายต่อหลายครั้ง

จนพอจะคาดเดาลักษณะของภาพถ่าย การวางตำแหน่งต่างๆในภาพนั้นๆ ได้ดี ว่ามีลักษณะเฉพาะ พิเศษยังไง ที่เป็นเอกลักษณ์การถ่ายรูปของเขา

และนั่น ก็ทำให้มีนนา ได้เรียนรู้เพิ่มเป็นอย่างที่สองว่า นี่ซินะ คือ คนที่ทำให้เขารู้สึกดี

มันจะไม่รู้สึกอะไรเลย ถ้าช่วงเวลานั้นไม่ได้ตรงกับช่วงเวลาที่เธอบอกเลิกกัน

 

เช้าวันรุ่งขึ้น  มีนนา ตื่นขึ้นมาพบกับข้อความโพสอิทจาก มงกร ที่เขียนแปะไว้บนโน๊ตบุ๊คว่า

วันนี้พาไปเที่ยวไม่ได้แล้วนะ ติดธุระ เขาเลยแนะนำว่าให้ไปติดต่อพวก 1 day trip ที่สถานี แล้วไปลองเที่ยวดูเองนะ

 

หลังจากมีนนาขึ้นรถบัส

ก็พบว่าตัวเองขึ้นผิดทาง จะลงก็กลัวหลง

เลยตัดสินใจนั่งต่อไปเรื่อยๆ เธอเชื่อว่าเดี๋ยวมันก็วนไปเจอปลายทางเหมือนกันนั่นแหล่ะ

และความผิดพลาดนี้เอง ทำให้เธอได้เห็นภาพของมงกร อยู่กับเพื่อน และ หนึ่งคนที่อยู่ข้างๆเขา คือ คนในภาพที่เห็นจากคอมพิวเตอร์เมื่อคืนก่อนชัดๆเต็มสองตา

 

หลังจากรถบัสผ่านหน้ามงกรไปโดยที่เขาไม่ทันได้สังเกตุเห็นเธอ

มีนนาเบือนหน้ามาอีกทางของหน้าต่างรถบัส ด้วยสีหน้าเรียบเฉย คราวนี้ไม่มีน้ำตาไหลแม้จะเอ่อล้นออกมา

เธอบรรจงพิมพ์ข้อความไปบอกเขา ว่า ถ้าจะมากับเขาคนใหม่นั้น ก็น่าจะบอกกันตรงๆได้นะ ไม่เห็นจะมาโกหกกันแบบนี้เลย

 

หลังจากนั้นมีนนาก็ใช้วันทั้งวันในการท่องเที่ยวกับทัวน์ โดยที่ไม่มีวี่แววของความเสียใจอีกเลย

ซึ่งตัวเธอเองก็อดแปลกใจไม่น้อย กับความรู้สึกของตัวเอง ว่าเพราะอะไร ความเสียใจ น้ำตาของความเศร้าถึงได้แห้งเหือดหายไป เหมือนกับไม่ได้รู้สึก รู้สากับการกระทำของเขาอีกเลย

 

หลังจากเที่ยวเสร็จ เรากับเขาก็มีนัดทานข้าวเย็นกัน

มีนนาเลยถือโอกาสบอกมงกรไปว่า

ถ้าจะไปไหนกับใครก็บอกเธอตรงๆได้นะ เพราะเราเลิกกันแล้ว เป็นเพื่อนกัน ไม่จำเป็นต้องปกปิดไรกันหรอก

มงกรเลยอธิบายว่าตอนนี้คนที่เขารู้สึกดีด้วยยังไม่รู้ตัวเลย เหมือนเป็นเพื่อนกันอยู่ก็เท่านั้น

มีนนาก็ได้แต่รับฟัง พยักหน้าอย่างเข้าใจ

 

และเรื่องมันก็บังเอิญซ้ำอีกครั้ง อย่างกับละครหลังข่าวทางช่อง 7

ระหว่างที่คุยกันไป ทานข้าวกันไป

เขาคนนั้นก็ดันเดินเข้ามาทานในร้านเดียวกันกับเราเช่นกัน

การกินอาหารมื้อนี้ มีนนา สัมผัสได้ถึงท่าทีความเปลี่ยนไปที่มากขึ้นกว่าเดิมของมงกร

เขาดูร้อนรน ดูเป็นกังวล และเป็นห่วงเป็นใย ความรู้สึกของเขาคนนั้นค่อนข้างมาก

ทำให้เห็นชัดถึงความสัมพันธ์ที่ห่างเหินกัน และความรักระหว่างเราที่ลดลงมาก ได้อย่างชัดเจน

แม้ระยะห่างระหว่างเราตอนนี้มันใกล้แค่เพียงเอื้อมมือ

แต่เธอกลับรู้สึกว่า เขาอยู่ไกลแสนไกลจนเธอไม่มีวันที่จะเข้าใกล้ถึงใจได้เลย

 

หัวใจของมีนนาตอนนี้ เปรียบเหมือน กระสอบทราย ในค่ายมวย

ที่โดนนักมวยทั้งเตะ ทั้งต่อย ทั้งศอก ทั้งเข่า จนดูน่วมไปหมด ภายนอกอาจดูปกติดีไม่มีอาการใดๆ

มันยังคงทำหน้าที่ของกระสอบทรายได้ดี

ทั้งที่โดนซ้อมอีกสักเท่าไรก็ยังเคลื่อนตัวไป รับผิดชอบทำตามหน้าที่ของตัวเองได้อย่างดี ไม่มีเกเร

แม้ภายในจะบอบช้ำ จนไม่เหลือที่ว่างให้ฝากริ้วรอยความเจ็บปวดอีกแล้วก็ตาม

 

ในคืนเดียวกันนั้นเอง เขาก็เอ่ยปากชวนเธอไปสังสรรค์กับเพื่อนๆของเขา มีนนาก็ยังคงเดินสายสตรองตอบไปว่า ตกลง …………….. (2)

 

By H’esdy


hesdyme.blogspot.com

 

ความคิดเห็น